VAR หรือ Video assistant referee เป็นเทคโนโลกใหม่ที่ถูกใช้และพัฒนาขึ้นในวงการลูกหนัง ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ก็ได้เข้ามาปฏิวัติวงการฟุตบอลอยู่มากมายพอสมควร ซึ่งรูปแบบการทำงานและหน้าที่ของมันก็คือการบันทึกวิดีโออย่างต่อเนื่องในบริเวณสำคัญๆ อาทิ กรอบเขตโทษ เพื่อเช็กการล้ำหน้า ซึ่งหากผู้ตัดสินรู้สึกว่ามันอาจจะผิดกฎกติกา ก็จะทำการหยุดเกมไปสักครู่หนึ่ง เพื่อวิ่งไปวิดีโอข้างสนามเพื่อประกอบการตัดสิน แต่ในปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาโดยใช้เครื่องมือสารกับผู้ตัดสินแทน ทำให้ตัดสินใจรวดเร็วมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องวิ่งออกไปดูหน้าจอที่ข้างสนามอีกต่อไป
ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้มันพึ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน แต่วันนี้เราจะลองมาคาดการณ์หรือคาดเดากันดูเล่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์บอลโลกที่ยังไม่ลืมในเกมการแข่งขันฟุตบอลในอดีตนั้น หากว่ามี VAR เกิดขึ้นแล้ว มันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง
เพราะหลายต่อหลายครั้ง การตัดสินของผู้ตัดสินในเกมการแข่งขันฟุตบอลหลายๆ นัด การแข่งขัน มันก็ย่อมมีบางส่วนที่แฟนบอลรู้สึกว่าค้านสายตาอยู่ไม่มากก็ได้ วันนี้เราจึงจะมาใช้ VAR ในการย้อนอดีตกัน ตามมาดูกันได้เลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากการแข่งขันฟุตบอลใจอดีตมี VAR
1.เจ้าบ้านย่อมได้เปรียบเสมอ
การแข่งขันในบางการแข่งขันนั้น มันอาจจะมีสิ่งที่เรียกว่าทีมเยือน ทีมเหย้า ทีมเจ้าบ้านกันอยู่ ซึ่งปัญหามันอยู่ที่ทีมเจ้าบ้านนี้ล่ะ ที่ในบางครั้งมันก็ได้มีปัญหาเรื่องของกังขาในการตัดสิน ที่ผู้เล่นและแฟนบอลต่างก็รู้สึกว่ามันจะเป็นการตัดสินที่โอนเอียงและเข้าข้างเจ้าบ้านไปมากมายซะหน่อย
อย่างเช่นตอนการแข่งขันที่เกาหลีใต้ได้เข้ารอบตัดเชือกในปี 2002 ซึ่งในครั้งนั้นเกาหลีใต้ก็ได้เป็นเจ้าภาพบอลโลกร่วมด้วย ซึ่งทำให้การตัดสินที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ที่คว่ำทีมชาติใหญ่ๆ ฝีมือดีอย่างสเปนและอิตาลีไปอย่างค้านสายตา ทำให้ผู้ตัดสินใจตอนนั้นอย่าง ไบรอน โมเรโน่ ถึงกลับโดนแบนจากการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมอีกด้วย
2.โซลแคมป์เบลล์ทำฟาวล์
ในเกมการแข่งขันกันอย่างดุเดือดและบ้าคลั่งที่ แซงต์ เอเตียน ซึ่งหากในยุคนั้นมี VAR ขอบอกได้เลยว่ามันจะต้องมีการถูกเรียกใช้กันอยู่หลายครั้งแน่นอน เพราะในกรุ๊ปของ เดวิด เบ็คแฮม ที่สอบ ดิเอโก้ ซเมโอเน่ ที่แฟนบอลทั้งหลายต่างก็มองว่ามันอาจจะผิดก็จริง แต่มันควรที่จะได้ใบเหลืองมากกว่าที่จะได้ใบแดง
เพราะเหตุการณ์นี้นั้นทำให้ประตูสำคัญของ โซล แคมป์เบลล์ ถูกปรับฟาวล์ไปเสียอย่างนั้น เพราะหากว่ามีการใช้ VAR ขึ้นมาละก็ เชื่อได้เลยว่าลูกสำคัญนี้นั้น จะเป็นอีกหนึ่งประตูที่ทำให้เกิดชัยชนะที่นำมาสูงทีมสิงโตคำรามอย่างแน่นอน
3.เดอยองคิก
เป็นการตัดสินฟุตบอลที่เวอร์ไปสักหน่อย ทั้งในแง่ของความจริงและการกระทำ เพราะว่ากันว่า อาเวิ์ด เว็บบ์ ได้ทำการไล่ ไนเจล เดอยอง ออกหลังด้วยการกระโดดคาราเต้คิกใส่อกของ ชาบี อลอนโซแต่อย่างใด หากแต่กลับถูกตัดสินว่าเขาได้ทำอย่างนั้นในเกมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในปี 2010 ที่ผ่านมานี้เอง
หากมองกันในเรื่องของเหตุผลและความเป็นจริง การตัดสินครั้งนั้นก็เป็นสิ่งที่อัปยสและผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผู้ตัดสินเลยก็ว่าได้ และหากการแข่งขันตอนนั้นมี VAR ขึ้นมาล่ะก็ ภาพช่วงเวลานั้นมันก็อาจจะสนุก มัน เหมือนกันภาพยนต์แอคชั่นเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การตัดสินที่แสนจะผิดพลาดนี้ถูกพูดถึงและถกเถียงกันมากมายสักเท่าไหร่ ก็คงเป็นเพราะว่าในการแข่งขันครั้งนั้น จบเกมด้วยการที่สเปนเป็นแชมป์ไปครอบครองได้สำเร็จ แต่หากสถานการณ์พลิก สเปนแพ้มาละก็ เหตุการณ์นี้คงจะถูกพูดถึงและถกเถียงกันอย่างยาวนานเลยล่ะ
4.ใบเหลืองแทนหัตถ์พระเจ้า
ในเกมการแข่งขันฟุตบอล หากเปรียบผู้ตัดสินแข่งขันอยู่ในสถานะใดสถานที่หนึ่ง ก็คงจะเปรียบได้ว่าเป็นดั่งพระเจ้าเลยก็ว่าได้ และเหตุการณ์ที่เรากำลังจะพูดถึงในต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ ดิเอโก้ มาราโดน่า ได้ทำการเอามือชกบอล ผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน จนทำให้ อาร์เจนติน่า คว้าขัยชนะไปได้ ในรูป 8 ทีมสุดท้ายของปี 1986
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ตัวอย่างที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ VAR เพราะหากว่ามีการใช้มันในตอนนั้น ประตูที่ได้ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น หรืออาจจะฟาล์วก็เป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าชัยชนะของ อาร์เจนติน่า ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่เป็นอย่างแน่นอน
5.ประตูที่ไม่มีจริง
ส่งท้ายไปกับประตูที่มีการตัดสินยากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันฟุตบอลเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ได้ข้อสรุปจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแล้ว ว่าเหตุการณ์ที่ทีมชาติอังกฤษยิงไปนั้น จนสามารถทำให้เกิดเป็นประตูที่ 3 ในรอบชิงชนะเลิศในปี 1966 นั้น ไม่ได้มีขึ้นอยู่ เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันยังไม่ข้ามเส้นนั่นเอง
ซึ่งเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในเกมการแข่งขันระหว่าง อังกฤษ และ เยอรมันตะวันตก อังกฤษนั้นก็ได้พยายามกดดันและสู้อย่างหนัก หลังจากที่โดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมไป ซึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ก็ได้ยิงชนเสาไปอย่างฉิวเฉียดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ต่อมา เจฟฟ์ เฮิร์ต์ ก็ได้ยิงและทำประตูได้สำเร็จในจังหวะต่อมา ซึ่งเป็นจังหวะบอลชนคานและเด้งไปบนเส้นของประตู ซึ่งจุดนี้นี่เองที่ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากมายว่าลูกฟุตบอลมันได้ข้ามเส้นไปแล้วหรือยัง
ก็อย่างที่ว่า อดีตมันก็คืออดีต มันก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือการทำให้ข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ มันเกิดขึ้นได้น้อยที่สุด หรือทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ทำเกิดข้อผิดพลาดเหล่านั้นขึ้นอีกเลยก็จะเห็นทางที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของความถูกต้องที่ควรที่มีมากขึ้น และความเป็นธรรมมากที่สุด เพื่อผลดีของทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
แม้ว่า VAR จะเข้ามามีบทบาทในวงการลูกหนังที่มากขึ้น แต่เหรียญมันก็มี 2 ด้าน เพราะแม้จะมีคนมองว่ามันดีและสามารถทำให้การตัดสินเป็นธรรมมากขึ้น แต่คอบอลบางส่วนก็ได้ชี้แจ้งว่ามันทำให้มนต์เสน่ห์ของการดูฟุตบอลได้หายไป และสำหรับคุณล่ะ คิดว่า VAR มันสมควรและจำเป็นอย่างไร หรือไม่สำหรับการแข่งขันฟุตบอล