5. บ็อบบี้ มัวร์ (ทีมชาติอังกฤษ)
ถือเป็นช็อตคลาสสิคแห่งชัยชนะของบ็อบบี้ มัวร์ กับการถือถ้วยจูลส์ ริเมต์อยู่ในมือ หรือแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 1966 เขาคือหนึ่งในปราการหลังที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง มัวร์ได้ลงสนามในเวิลด์คัพครั้งแรกที่ชิลีเมื่อปี 1962 ก่อนจะรับบทกัปตันทีมชาติจากจอห์นนี เฮย์เนส ในอีกหนึ่งปีถัดมา เขาถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในฟุตบอลโลกของทีมชาติอังกฤษ ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของแนวรับที่รักษาคลีนชีตไว้ได้ถึง 4 นัดติดต่อกัน รวมถึงเกือบจะขยายออกไปเป็นนัดที่ 5 หากไม่เจอลูกจุดโทษของยูเซบิโอในรอบรองชนะเลิศที่ชนะโปรตุเกสไปเสียก่อน อย่างไรก็ดี ฟอร์มอันยอดเยี่ยมที่สุดของมัวร์ในฟุตบอลโลกนั้น กล่าวกันว่าเกิดขึ้นในอีก 4 ปีถัดมาที่ประเทศเม็กซิโก แม้ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น มัวร์จะถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยจากร้านอัญมณีโคลอมเบีย แต่เขาก็ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างโดดเด่นโดยเฉพาะจังหวะที่หยุดแจร์ซินโญเอาไว้ได้อยู่หมัด อย่างไรก็ดี การเข้าปะทะในครั้งนั้น และลูกเซฟแห่งความทรงจำของกอร์ดอน แบงค์ ก็ไม่อาจช่วยให้อังกฤษรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ 1-0 ไปได้ ก่อนที่อังกฤษจะตกรอบเพราะเยอรมันตะวันตกในรอบถัดมา
4. ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ (ทีมชาติเยอรมันตะวันตก)
ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ หรือฉายาที่ว่า ไกเซอร์ ยอดนักเตะตำรับตำนาน เจ้าของตำแหน่งโบราณที่เรียกว่า “ลิเบโร่” เขาคือชายคนเดียวที่เคยชูถ้วยเวิลด์คัพทั้งในฐานะกัปตันและโค้ชของทีมชาติ อย่างไรก็ดีเขาก็เคยพลาดโอกาสคว้าแชมป์ใบนี้มาแล้วหลายครั้งด้วยกัน หลังจากที่พ่ายแพ้ในเกมฟุตบอลโลกนัดชิงปี 1966 ต่อทีมชาติอังกฤษ 4 ปีต่อมาที่เม็กซิโก เขาและเยอรมันก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อพ่ายแพ้ต่ออิตาลีในช่วงต่อเวลาของเกมรอบรองชนะเลิศ จนกระทั่งในปี 1974 แข้งอินทรีเหล็กรายนี้ถึงได้ลิ้มรสความสำเร็จที่หอมหวาน เมื่อเป็นผู้นำในแนวรับที่เสียเพียง 4 ประตู จาก 7 นัดจนกระทั่งถึงนัดชิงชนะเลิศ หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาแล้วแทบทุกอย่างในฐานะนักเตะ เบ็คเคนบาวเออร์ก็ยังคว้าแชมป์ได้ในฐานะโค้ชที่ อิตาเลีย 90 เมื่อเยอรมันตะวันตกภายใต้การคุมทีมของเขาปราบอาร์เจนตินาที่มีดิเอโก้ มาราโดนา ไปได้ 1-0 ที่กรุงโรม
3. โรนัลโด้ (ทีมชาติบราซิล)
หากพูดถึง ดาวยิงระดับพระกาฬในยุคนี้ ชื่อของ โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติบราซิล คงจะโผล่ขึ้นมาอยู่ในใจของแฟนบอลทั่วโลก เป็นรายชื่อแรกๆ อย่างแน่นอน จากฝีเท้าอันสุดฉกาจที่เขาได้สำแดงต่อสายตาชาวโลก มาเป็นเวลานานร่วม 10 ปี และความสำเร็จมากมายที่เขากอบโกยมาประดับบารมีให้กับตัวเอง ในปี 1993 โรนัลโด้ วัย 16 ปี จัดการถล่มประตูให้กับทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ได้ถึง 59 ประตู จากการลงสนาม 57 นัด และในปีต่อมาเขาก็ถูกเรียกไปติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมทั้งถูกเลือกให้ติดทีม “เซเลเซา” ชุดที่ไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา อีกด้วย โดยที่ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร่า กุนซือของทีมชาติบราซิล ชุดนั้น หวังว่า เจ้าหนูมหัศจรรย์ของเขา จะได้เรียนรู้อะไรดีๆ จาก โรมาริโอ และ เบเบโต้ กองหน้ารุ่นพี่ ที่เป็นกำลังสำคัญของทีมแซมบ้า ในเพลานั้น ทีมชาติบราซิล สามารถทะลุทะลวงคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 มาครองได้ ทำให้ โรนัลโด้ ก็ได้เหรียญแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองไปด้วย ในขณะที่มีวัยเพียง 17 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงสนามในฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เลยก็ตาม หลังจากนั้นอีก 4 ปี ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ โรนัลโด้ ในวัยฉกรรจ์ ก็พาบราซิล เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ อีกครั้ง ก่อนจะไปพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส แบบยับเยิน ชนิดคาใจคนทั้งโลก ท่ามกลางข่าวลือว่า โรนัลโด้ ไม่ฟิตสมบูรณ์ ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศ แต่ก็ต้องฝืนสังขารลงไปยืนค้ำ ขู่แผงกองหลังฝรั่งเศส เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา ต้องการอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ และพลพรรคนักเตะบราซิล ก็มาแก้ตัวได้สำเร็จ ในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อคว้าแชมป์โลก สมัยที่ 5 มาครองได้ ด้วยการปราบ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ และเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยที่ 2 ของ โรนัลโด้ และเขายังคว้ารางวัลดาวซัลโวของการแข่งขันมาครองได้ ด้วยการซัดไป 8 ประตู
2. ดีเอโก้ มาราโดน่า (ทีมชาติอาร์เจนตินา)
คงจะไม่เกินไป หากจะบอกว่าถ้าใครที่ดูฟุตบอลมามากกว่า 20 ปี ร้อยทั้งร้อย จะต้องรู้จักกันชื่อของ ดีเอโก้ มาราโดน่า และเชื่อว่าหลายคนเริ่มรู้ว่า ‘อาร์เจนติน่า’ เป็นประเทศ ก็จากการได้ยินชื่อของ มาราโดน่า นี่เองตำนานนักเตะที่เก่งที่สุดตลอดกาลวันนี้ จัดมาให้ กับนักเตะที่ว่ากันว่า เก่งที่สุดในโลกตลอดกาล “ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า” ผู้เป็นดั่งพระเจ้าที่มีชีวิตของชาวอาร์เจนไตน์ แต่อาจเป็นซาตานสำหรับคู่แข่ง! นักเตะร่างเล็กเจ้าของส่วนสูง 165 ซ.ม. เริ่มสร้างชื่อในฟุตบอลโลกในปี 1982 ซึ่งจริงๆ แล้ว มาราโดน่า ควรจะติดทีมชาติตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1978 แล้วแต่ด้วยวัยแค่ 17 ทำให้กุนซือ เซซาร์ หลุยส์ มิน็อตติ กลัวเด็กจะควบคุมตัวเองไม่ได้ และในฟุตบอลโลกที่สเปน ปี 1982 มาราโดน่า ก็พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า มิน็อตติ คิดไม่ผิด เพราะในวัย 21 เสื้อเตี้ยโดนเตะโดนหวดจนฟิวส์ขาด ไปถีบใส่ บาติสต้า กองหลังบราซิล โดนใบแดงและอาร์เจนติน่า ตกรอบไปอย่างชอกช้ำ แต่แล้ว ฟุตบอลโลก 1986 คือจุดพีคของ มาราโดน่า เขาสร้างวีรกรรมมากมาย ทั้งการทำแฮนด์ ออฟ ก็อด เอามือชกบอลเข้าประตูอังกฤษ พอโดนถามก็บอกว่าเป็น “หัตถ์พระเจ้าที่ทำ” เลยเป็นหนึ่งในช็อตอมตะของลูกหนังโลกไปเลย … แต่ไม่กี่นาทีหลังทำเหตุน่าละลาย เขาก็ทำสิ่งที่น่าทึ่งด้วยการเลี้ยงบอลจากครึ่งสนาม หลบผู้เล่นอังกฤษ 5 คนและผู้รักษาประตูเข้าไปยิงประตูที่สุดสวยที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก จากนั้นเขาก็เดินหน้านำลูกทีมฟ้าขาว คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ มาราโดน่า ยังเล่นในฟุตบอลโลก 1990 (ได้รองแชมป์) และ 1994 (ตกรอบสอง) ทำให้เบ็ดเสร็จ เขาลงเล่นในฟุตบอลโลก 4 สมัย
1. เปเล่ (ทีมชาติบราซิล)
ไม่มีใครไม่รู้จัก เปเล่ ยอดนักฟุตบอลชาวบราซิลเบอร์ 10 เปเล่มีชื่อจริงว่า เอดซง อารังชีส ดู นาซีเมงตู (Edson Arantes Do Nascimento) มีฉายาที่ยิ่งใหญ่อย่าง O Rei ที่แปลว่า ราชาแห่งฟุตบอลและไข่มุกดำ แห่งทีมชาติบราซิล เปเล่ เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอลจริงจังเมื่ออายุ 11 ปี โดยอยู่ทีมฟุตบอลสมัครเล่น เมื่ออายุ 15 ปีจึงได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของซานโตส เอฟซียอดสโมสรในบราซิล และเมื่ออายุ 17 ปี เปเล่ ติดทีมชาติและเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในปี 1958 โดยหลังจากนั้นเขาก็พาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกอีก 3 ครั้ง ยิงประตูทั้งหมดกว่า 1,282 ลูกจากการลงเล่น 1,363 นัด พร้อมทั้งทำแฮตทริกมากที่สุดในโลกถึง 92 ครั้ง และเป็นผู้เล่นที่มีลีลาพลิ้วไหวจนกลายเป็นภาพที่ติดตราตรึงใจแฟนบอลไปตลอดกาล ถึงแม้ตอนนี้เราจะทำได้เพียงกลับไปดูภาพในอดีต แต่ปัจจุบันเขาก็ยังทำงานการกุศลเกี่ยวกับฟุตบอลอีกมากมาย ไข่มุกดำคนนี้จึงถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอลในรอบร้อยปีเลยทีเดียว