ฟุตบอลโลก เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ การแข่งขันจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ใน การแข่งขันครั้งล่าสุดเป็นทีมชาติฝรั่งเศสที่คว้าแชมป์ไปในปี 2018 โดยฟุตบอลโลกรอบต่อไปจะจัดขึ้นในปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ รูปแบบการแข่งขันในปัจจุบัน จะประกอบด้วย 32 ทีม แบ่งเป็นกลุ่มละ 4 ทีม จากนั้นเอาที่ 1-2 มาโยงสายเจอกันจนถึงนัดชิง ฟุตบอลโลกถือเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก มีผู้ชมจากทุกช่องทางถึง 3.57 พันล้านคน ตลอดทัวร์นาเมนต์บอลโลก 2018
ประวัติ
จากความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก ฟีฟ่าพร้อมด้วยประธานที่ชื่อ จูลส์ ริเมต ได้ผลักดันอีกครั้งโดยเริ่มมองหาหนทางในการจัดการแข่งขันนอกเหนือการแข่งขันโอลิมปิก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าในอัมสเตอร์ดัมตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันด้วยตัวเองกับอุรุกวัยที่เป็นแชมเปียนโลกอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง และเพื่อเฉลิมฉลอง 1 ศตวรรษแห่งอิสรภาพของอุรุกวัยในปี ค.ศ. 1930 ฟีฟ่าได้ประกาศว่าอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก
สมาคมฟุตบอลของประเทศที่ได้รับการเลือก ได้รับการเชิญให้ส่งทีมมาร่วมแข่งขัน แต่เนื่องจากอุรุกวัยที่เป็นสถานที่จัดงาน นั่นหมายถึงระยะทางและค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาจากฝั่งยุโรปมา ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีประเทศไหนในยุโรปตอบตกลงว่าจะส่งทีมมาร่วม จนกระทั่ง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน ในที่สุดริเมตจึงสามารถเชิญทีมจากเบลเยียม ฝรั่งเศส โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 13 ทีม โดยมี 7 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ 4 ทีมจากยุโรป และ 2 ทีมจากอเมริกาเหนือ
2 นัดแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ผู้ชนะคือทีมฝรั่งเศส และทีมสหรัฐอเมริกาชนะเม็กซิโก 4–1 และเบลเยียม 3–0 ตามลำดับ โดยผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกมาจากลุกแซง โลร็องต์ จากฝรั่งเศส ในนัดตัดสินทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 4–2 ต่อหน้าผู้ชม 93,000 คนที่เมืองมอนเตวิเดโอ ทีมอุรุกวัยจึงเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก
ประเด็นในการจัดการแข่งขันในช่วงแรกของฟุตบอลโลกที่เป็นความยากลำบากในการเดินทางข้ามทวีปและสงครามนั้น มีทีมจากอเมริกาใต้บางทีมยินดีที่จะเดินทางไปยุโรปในการแข่งขันในปี 1934และ 1938 โดยทีมบราซิลเป็นทีมเดียวในอเมริกาใต้ที่เข้าแข่งขันทั้ง 2 ครั้งนี้ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลโลก 1942 และ 1946 ได้มีการยกเลิกไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองและพักจากผลกระทบของสงครามโลก
ฟุตบอลโลกกลับมาจัดขึ้นอีกครั้งหลังเหตุสงครามโลกในปี 1950 ที่ประเทศบราซิล เป็นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมการแข่งขันหลังจากได้รับคำเชื้อเชิญจากฟีฟ่า การแข่งขันครั้งนี้ทีมแชมเปียนอย่างอุรุกวัยก็กลับเข้ามาร่วมอีกครั้ง หลังจากที่คว่ำบาตรฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง โดยทีมอุรุกวัยชนะในการแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ชนะประเทศเจ้าภาพบราซิล นัดการแข่งขันนี้เรียกว่า “มารากานาซู”
ในการแข่งขันระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ 1978 มีทีมเข้าร่วมแข่งขัน 16 ทีม ยกเว้นในปี ค.ศ. 1938 เมื่อออสเตรียรวมเข้ากับเยอรมนี หลังจากรอบคัดเลือก ทำให้มีทีมแข่งขันเหลือเพียง 15 ทีม และในปี ค.ศ. 1950 เมื่ออินเดีย สกอตแลนด์ และตุรกี ถอนตัวจากการแข่งขัน ทำให้มีทีมร่วมแข่งขันเพียง 13 ทีม ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันส่วนใหญ่เป็นทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ มีส่วนน้อยจากอเมริกาเหนือ แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย ทีมเหล่านี้มักจะแพ้อย่างง่ายดายกับทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1982 มีทีมนอกเหนือจากยุโรปและอเมริกาใต้ที่เข้าสอบรอบสุดท้าย คือทีมสหรัฐอเมริกา เข้ารอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1930, ทีมคิวบาเข้ารอบรองชนะเลิศใน ปี ค.ศ. 1938, ทีมเกาหลีเหนือ เข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1966 และทีมเม็กซิโกเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1970
การแข่งขันขยายเป็น 24 ทีมในปี ค.ศ. 1982 จากนั้นเป็น 32 ทีมในปี ค.ศ. 1998 ทำให้มีทีมจากแอฟริกา เอเชียและอเมริกาเหนือเข้ารอบมากขึ้น และในปีครั้งหลัง ๆ ทีมในภูมิภาคเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น และสามารถติดในรอบก่อนรองชนะเลิศมากขึ้น ได้แก่ ทีมเม็กซิโก เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1986, ทีมแคเมอรูน เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1990, ทีมเกาหลีใต้ได้อันดับ 4 ในปี ค.ศ. 2002, ขณะที่ทีมเซเนกัลและสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 ทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 2002 และทีมกานา เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2010 แต่ถึงอย่างไรก็ตามทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ก็ยังคงมีความโดดเด่นอยู่ เช่นในปี ค.ศ. 1998 และ 2006 ที่ทีมทั้งหมดในรอบรองชนะเลิศมาจากยุโรปและอเมริกาใต้
ในฟุตบอลโลก 2002 ในรอบคัดเลือก มีทีมเข้าร่วมคัดเลือก 200 ทีม และในฟุตบอลโลก 2006 มีทีมที่พยายามเข้าคัดเลือก 198 ทีม ขณะที่ในฟุตบอลโลก 2010 มีประเทศที่เข้าร่วมรอบคัดเลือก 204 ทีม ซึ่งถือเป็นสถิติเป็นปีที่มีประเทศเข้าคัดเลือกมากที่สุด
ฟุตบอลโลก 2014 ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่บราซิลได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ซึ่งพวกเขาหมายมั่นปั้นมืออย่างมากที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 6 บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็ต้องดับสลายลงแค่รอบรองชนะเลิศ หลังขุนพล เซเลเซาพ่ายต่อเยอรมนีแบบย่อยยับด้วยสกอร์ 1-7 ถือเป็นสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบรองชนะเลิศ ส่วนที่พลิกล็อกไม่แพ้กันคือทีมชาติสเปนแชมป์เก่าปี 2010 ตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่ทีมสุดท้ายก็กลายเป็น “ทัพอินทรีเหล็ก” เยอรมันที่คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครอง จากการเฉือนชนะอาร์เจนตินาของ ลิโอเนล เมสซี่ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากประตูชัยของ มาริโอ เกิตเซ่
ฟุตบอลโลก 2018 จัดขึ้นที่ประเทศรัสเซีย ถือเป็นครั้งแรกที่รัสเซียและยุโรปตะวันออกได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และเป็นครั้งแรกที่ประเทศเจ้าภาพคาบเกี่ยวระหว่างสองทวีป คือยุโรปกับเอเชีย โดยก็เป็นอาถรรพ์ทีมแชมป์เก่าอีกครั้ง กับทีมชาติเยอรมัน ที่เต็มไปด้วยสตาร์ แต่ก็ต้องมาตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแบบงงๆ ด้วยการแพ้ให้กับเกาหลีใต้ 2-0 ในนัดสุดท้าย ส่วนคู่ชิงชนะเลิศปีนี้คือ ทีมรองแชมป์ยูโรอย่าง ฝรั่งเศส กับทีมม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์อย่าง โครเอเชีย ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศนี้ได้มีแฟนบอลจำนวนหนึ่งลงมาป่วนการแข่งขันในสนามจนต้องเบรกเกม แต่ในที่สุดฝรั่งเศสก็สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปครอง ในรอบ 20 ปี ด้วยสกอร์ถึง 4-1